water airport

http://sanambinnam.siam2web.com/
หน้าหลัก  ความเป็นมา  ประวัติผู้แต่ง  เนื้อเรื่องย่อ  ลักษณะคำประพันธ์  ถอดความ

อิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง

เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงเห็นน้องชายทั้งสองก็เรียกให้มาร่วมนั่งด้วยกัน แล้วจึงไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกับเหล่าระตูเมืองเล็กๆ พร้อมทั้งปรึกษาหารือเรื่องที่จะไปตีเมืองดาหา เหล่าระตูต่างๆก็ตอบรับด้วยดี ยินดีที่จะไปออกรบด้วย ซึ่งเป็นที่พอใจแก่ท้าวกะหมังกุหนิงอย่างยิ่ง จึงเชิญให้เหล่าระตูต่างๆไปพักผ่อนตามอัธยาศัย แต่ก็ยังเรียกน้องทั้งสองไว้ แล้วจึงเล่าเรื่องตามจริงทั้งหมดให้ฟัง ฝ่ายน้องทั้งสองก็ไม่เห็นด้วยจึงทูลทัดทานไปว่าไม่ควรยกกองทัพไปต่อกรเหล่าวงศ์อสัญแดหวา ซึ่งมีพระเดชานุภาพและเชี่ยวชาญในการรบจนเป็นที่เลื่องลือ ถึงขนาดว่ามีเมืองมาขอเป็นเมืองขึ้นนับร้อยเมือง การยกทัพไปรบกับเมืองดาหาจึงเหมือนกับหิ่งห้อยแข่งกับแสงอาทิตย์ มีแต่จะพ่ายแพ้ จึงขอให้พี่ลองคิดไตร่ตรองดูก่อน เพราะผู้หญิงสวยๆใช่ว่าจะมีแต่เพียงพระธิดาของท้าวดาหาเสียที่ไหน ฝ่ายท้าวกะหมังกุหนิงก็ตอบไปว่าที่ไปไม่ใช่ไปรบกับท้าวดาหา เพียงแต่จะไปรบชิงนางบุษบาจากจรกาเท่านั้น ระตูทั้งสองจึงกราบทูลไปว่า ตอนนี้บุษบายังอยู่กับพระบิดาที่เมืองดาหา หากเกิดศึกชิงตัวนางขึ้น ท้าวดาหาก็ย่อมจะต้องไปบอกความแก่เมืองพี่น้องทั้ง ๓ เมืองเป็นแน่ จะทำให้เกิดศึกกระหนาบขึ้น เกินกำลังที่เราจะรับไหว ยิ่งถ้าเสียที่ในการรบ ก็จะเป็นที่อับอายขายหน้าแก่จรกา แต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็ตอบไปว่าอิเหนานั้นย้ายไป อยู่เมืองหมันหยาได้สักปีกว่าแล้ว ทำให้พระญาติวงศ์โกรธมาก คงจะไม่ยกพลมา ครั้นเมืองกาหลังกับสิงหัดส่าหรี ก็ไม่เห็นจะน่ากลัวแต่อย่างใด ส่วนจรกา ล่าสำนั้น ต่อให้ยกพลมาเป็นล้าน หากโดนโจมตีประเดี๋ยวเดียวก็คงหนีเข้าป่าไปแล้ว ขอให้น้องทั้งสองเห็นแก่หลานด้วย หากไม่ได้นางมาก็คงจะตรอมใจตาย พี่ก็คงจะต้องตายเพราะลูกตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ไหนๆถ้าจะต้องตาย จะเร็วจะช้าก็ตายเช่นกัน หากโชคดีก็คงจะได้ดังที่หวังไว้ น้องทั้งสองเมื่อฟังพี่ชายพูดเช่นนี้แล้วก็ไม่กล้าขัดอะไรอีกต่อไป แล้วท้าวกะหมังกุหนิงก็ชวนไปพักผ่อนนอนพัก

                ฝ่ายราชทูตของเมืองกะหมังกุหนิงก็เดินทางมาถึงหน้าด่านเมืองดาหาเป็นเวลาประมาณ ๑๕
 วัน เมื่อมาถึงก็แจ้งกับขุนด่าน ซึ่งขุนด่านก็รีบขึ้นม้า ขี่เข้าไปในเมือง ไปหาเสนาทั้งสี่ แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วเสนาทั้งสี่ก็เข้าไปแจ้งท้าวดาหา ว่าท้าวกะหมังกุหนิงนั้นนำเครื่องทองมาถวายเป็นเครื่องบรรณาการ ตอนนี้ทูตอยู่ที่ปลายด่าน จะขอเข้าเฝ้า ท้าวดาหาก็ตรัสสั่งให้ดะหมังรีบไปตามให้เข้ามา แล้วดะหมังก็ออกไป พร้อมจัดแต่งกระบวนแห่แหนเพื่อออกไปรับราชทูต

               พอบ่ายสามโมง ท้าวดาหาก็อาบน้ำ แต่งตัวแล้วจึงออกไปยังท้องพระโรง ให้ยาสาเบิกตัวราชทูตเข้ามา ในสารก็กล่าวไว้ว่าตัวท้าวกะหมังกุหนิงนี้มีลูกชาย ครั้นเมื่อออกไปล่าสัตว์ก็บังเอิญพบรูปของนางบุษบาที่กลางป่า ชะรอยว่าตัววิหยาสะกำและนางบุษบานี้จะเป็นเนื้อคู่กัน อันวิหยาสะกำนั้นก็เผ้าแต่หลงใหลใฝ่ฝัน หวังว่าเราทั้งสองเมืองจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน
               เมื่อท้าวดาหาทรงทราบจุดประสงค์ ก็ตรัสตอบราชทูตไปว่าพระองค์นั้นยกบุษบาให้กับจรกาไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังนัดวันวิวาห์ไว้อีกด้วย

การที่จะรับของหมั้นจากผู้อื่นก็เกรงว่าจะเป็นการผิดประเพณี คนเขาจะติฉินนินทาเอาได้ พระองค์จึงคืนเครื่องราชบรรณาการกลับไป เมื่อราชทูตได้ฟังดังนั้นก็กราบทูลท้าวดาหาอย่างโอหัง ว่าหากท้าวดาหาไม่ยอมยกบุษบาให้กับวิหยาสะกำ ก็ขอให้เตรียมตกแต่งบ้านเมือง เตรียมรบกับกองทัพของท้าวกะหมังกุหนิงไว้ให้ดี ท้าวดาหาได้ฟังดังนั้นก็ประกาศขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าตนไม่ขัดข้องเลยที่จะทำสงครามกัน เมื่อรับสั่งเช่นนั้นแล้วก็เสด็จเข้าพระราชฐานชั้นในทันที

                เมื่อราชทูตกลับไปแล้ว ท้าวดาหาก็บัญชาให้เสนาไปทูลพระเชษฐาและพระอนุชาทั้งสองรวมถึงจรกา ว่ามีข้าศึกยกมาชิงชัย เมื่อเสนาไปถึงเมืองสิงหัดส่าหรี ท้าวสิงหัดส่าหรีก็บัญชาให้เสนารีบไปทูลว่าอย่าได้วิตก เพราะตนจะส่งสุหรานากงไปช่วย

                ฝ่ายท้าวกุเรปันก็แต่งจดหมายลับไปยังเมืองหมันหยา ๒ ฉบับ ฉบับหนึ่งแจ้งให้เร่งให้อิเหนารีบกลับมา ส่วนอีกฉบับหนึ่งให้ถวายท้าวหมันหยา และมีรับสั่งให้กะหรัดตะปาตี โอรสยกทัพไปช่วยท้าวดาหาอีกทัพหนึ่งโดยเร็ว ก่อนที่ข้าศึกจะยกมา ท้าวกุเรปันก็เร่งให้ปาเตะไปแจ้งพันพุฒและพันพรหมเกณฑ์เหล่าพลทหารพร้อมอาวุธ แล้วยกทัพไปก่อนเช้ามืด ซึ่งขุนหมื่นสัสดีก็ทำบัญชีหางว่าว พร้อมกับให้ขุนนางแสงนอกมาแจกจ่ายอุปกรณ์ต่างๆ ได้พลรวมประมาณหนึ่งแสนคน นอกจากจะตั้งกองแล้วก็ยังเตรียมรถทรง ช้าง ม้า ให้ผูกม้าพร้อมทหารทั้ง ๔ เหล่า บ่าวไพร่ใครมาสายก็จับเอาหวายโบยหวายตีทันที
                แล้วกะหรัดตะปาตีก็เข้าห้องไป อาบน้ำ ลูบไล้ตัวด้วยเครื่องหอมต่างๆ สวมกางเกง นุ่งผ้าแต่งกายสีม่วงวันเสาร์ รัดผ้าคาดเอว คาดปั้นเหน่ง ห้อยตาบทิศ ทับทรวง สวมสร้อยสังวาล และกำไลข้อมือ พร้อมเหน็บดาบไว้ที่เอว แล้วจึงเข้าเฝ้าท้าวกุเรปัน ซึ่งได้อวยพรให้กะหรัดตะปาตีมีชัยในการรบ เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็บังคมลา แล้วออกมายังหน้าพระลานแล้วเคลื่อนพลมารอทัพของอิเหนา
                ทางฝ่ายกาหลังก็จัดกระบวนพลมาได้ห้าหมื่นคน พอเดินทัพมาได้สักพักก็เข้ามาสมทบกับทัพของสุหรานากง ในขณะเดียวกัน ทูตของท้าวกะหมังกุหนิงก็กลับมาเข้าเผ้าท้าวกะหมังกุหนิง พร้อมกับกล่าวว่าตัวเขาได้เอาจดหมายไปให้กับท้าวดาหาแล้ว ท้าวดาหาได้ยกลูกสาวให้กับจรกาพร้อมกับกำหนดวันแต่งงานไว้เรียบร้อย ทั้งยังส่งคืนของทั้งหมดที่ได้นำไปให้ และตนยังบอกไปอีกว่าถ้าท้าวดาหาไม่ยอมยกนางบุษบาให้ก็ขอให้เตรียมตกแต่งป้องกันบ้านเมืองเพื่อที่ตนจะยกทัพไป ถึงขั้นบอกไปเช่นนี้ ว่าจะมีข้าศึก แต่ท้าวดาหาก็ยังไม่สนใจ กลับบอกว่าแล้วแต่ ตามแต่ใจ เมื่อได้ฟังแล้ว ท้าวกะหมังกุหนิงก็รู้สึกโกรธมาก เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจ ที่ว่าตนอุตส่าห์อ่อนข้อไปง้อเขา อันตัวเรานั้นก็เป็นใหญ่เป็นโต เพราะฉะนั้น จะต้องไปเอาตัวบุษบามาให้ได้ ถ้าไม่ได้ ตนจะไม่ยอมกลับเมือง และจะสู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่

                ท้าวกะหมังกุหนิงมีพระราชโองการให้ยกทัพใหญ่เข้าโจมตีเมืองดาหาในวันรุ่งขึ้น แม้ว่าโหรจะทำนายว่าท้าวกะหมังกุหนิงและพระโอรสจะถึงฆาต ให้รอก่อนเป็นเวลา ๗ วัน แต่พระองค์ได้ตรัสสั่งออกไปแล้ว พระองค์ไม่เชื่อ พระองค์คิดว่าหากยับยั้งการยกกองทัพไปรบ จะอับอายขายหน้าเหล่าไพร่พลว่าตนขลาดกลัวข้าศึก ดังนั้น ถึงแม้ตัวตาย ก็จะไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นได้ อีกทั้งหากยกทัพช้าไป เมืองดาหาจะได้กองทัพจากเมืองอื่นมาสมทบ จะทำให้เอาชนะยากขึ้นไปอีก ดังนั้นจะเป็นอย่างไรก็ขอให้สุดแท้แต่บุญแต่กรรม แล้วจึงเสด็จกลับเข้าไป

                เสนาดะหมังและตำมะหงงจึงเรียกประชุมนายกองทั้งหลายให้เกณฑ์ไพร่ทุกคน ไม่สนว่าจะป่วยหรือจะเป็นอะไรก็ตาม ผู้ใดมีเกวียนก็ให้บรรทุกข้าวไปเล่มละสิบถัง ไพร่หลวงก็จัดปืนคละกันไป หากใครไม่มีหอกไม่มีดาบก็ให้นำเอาจอบ หรือมีดดายหญ้า ใครไม่มีม้าก็ให้นำช้างหรือวัวออกมาแทน เตรียมปืนใหญ่ เตรียมรถ เตรียมกันไปมา

                ฝ่ายท้าวดาหา นอกจากจะเชิญทั้งสี่เมืองมาออกรบแล้ว ก็ยังเชิญทัพจากเมืองขึ้นต่างๆมาร่วมออกรบด้วย โดยตั้งค่ายไว้รอบนอก ทั้งตั้งด่านรอบเมืองไม่ให้บังป้อม ทำหอคอย ทำรั้วในประตู ทำเสาเป็นเขื่อนกั้นพร้อมทั้งโค่นต้นไม้ทำเป็นป้อมปืน
                ระหว่างที่วิหยาสะกำเดินทัพ ก็ตีเมืองเล็กๆไปด้วย แล้วนำพลมารวมทัพกัน หลังจากเดินทางมาได้ ๑๐ วันก็มองเห็นกำแพงเมืองดาหาอยู่ลิบๆ จึงหยุดแล้วตั้งค่ายไว้ที่ชายป่า สายสืบของเมืองดาหารู้เข้าก็รีบเข้าเมืองไปแจ้ง ท้าวดาหาก็ได้แต่ตัดพ้อเชิงประชดประชัน ว่าผิดที่ลูกของตนเอง
เขามาขอแล้วเราไม่ให้ นึกแล้วก็น้อยใจในตัวอิเหนา เหมือนว่าอิเหนามาแกล้งให้ประชาชนต้องเดือดเนื้อร้อนใจไปทั่วแผ่นดิน ท้าวดาหาจึงให้เสนาไปเกณฑ์พลรักษาเมืองเอาไว้ให้มั่น เพราะถ้าจะคอยส่งข่าว ก็คงจะไม่เป็นผล เพราะรู้ๆอยู่ว่ามีเรื่องผิดใจกัน อย่างไรเสีย เขาก็จะเป็นฝ่ายออกรบเอง

                ปาเตะเสนาก็ทำตามที่รับสั่ง เกณฑ์พลให้ขึ้นประจำอยู่รอบๆ ทั้งบานประตูก็ให้ลั่นดาลให้มั่น ให้พวกฝรั่งเตรียมปืนใหญ่ พร้อมเตรียมกองกลางไว้เผื่อมีเสียงปืนเมื่อไหร่ก็ให้ยิงตอบโต้ได้ทันที

                ในขณะนั้น กองทัพของสุหรานากง และเสนาเมืองกาหลังก็เดินทางมาถึงเมืองดาหา ท้าวดาหาก็ดีใจมากที่น้องชายของตนส่งกองทัพมาช่วยรบ แต่ก็ถามไปว่าเมืองกุเรปันส่งใครมาช่วยรบ           สุหรานากงก็ตอบไปว่าท้าวกุเรปันไดเให้กะหรัดตะปาตียกทัพมาสมทบกับอิเหนา เมื่อท้าวดาหาได้ฟังเช่นนั้นก็ประชดอิเหนา ว่ากะหรัดตะปาตีมาช่วยก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจ แต่อิเหนาเล่า เขาจะมาทำไม ท้าวกุเรปันเรียกให้กลับกี่ครั้งก็ไม่ยอมกลับ เห็นทีคงจะรักเมียมากกว่าญาติ ที่เมืองมีศึกในครั้งนี้ก็เป็นเพราะใครเล่า ถ้ามาก็เห็นว่าคงจะมาเพราะกลัวท้าวกุเรปันเสียมากกว่าแล้วยังบอกว่าคงไม่ต้องคอยหรอก แล้วให้สุหรานากงไปพักผ่อน สุหรานากงจึงขอถวายชีวิตให้เพื่อรับใช้ท้าวดาหา และอาสาไปออกรบกับทัพของกะหมังกุหนิง แต่ท้าวดาหาก็ได้ทัดทานไว้ว่ากองทัพเพิ่งยกมาใหม่ กำลังยังเข้มแข็ง เราอาจจะเพลี่ยงพล้ำเอาได้ ควรที่จะอยู่รักษาพระนครไว้ รอให้ข้าศึกอ่อนกำลังลง แล้วจึงค่อยยกทัพออกไปโจมตีภายหลัง ประกอบกับทัพจากเมืองอื่นจะได้มาช่วยยกทัพเพื่อที่จะตีกระหนาบ ด้วยวิธีนี้ เห็นทีข้าศึกต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน สุหรานากงฟังแล้วก็เห็นด้วย แล้วจึงกลับไปพักผ่อน

                กล่าวถึงดะหมังจากเมืองกุเรปัน เมื่อเดินทางมาเข้าเฝ้าถวายพระราชสารแก่อิเหนาที่เมืองหมันหยา ซึ่งในจดหมายนั้นกล่าวว่าตอนนี้มาศัตรูมาตั้งติดต่อเมืองดาหา ขอให้อิเหนารีบยกพลไปตีให้ทันท่วงที ถึงไม่เห็นแก่บุษบาก็ขอให้เห็นแก่ท้าวดาหาผู้เป็นอาด้วยเถิด ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นก็เพราะไม่รู้ว่าใครไปทำงามหน้าไว้ เสียคำพูดไว้ให้อายชาวเมืองดาหาแล้ว ครั้งนี้จะเมินเฉยอีกก็แล้วแต่ ถ้าไม่มาช่วยก็ขออย่าได้มาเผาผีกันอีกเลย เมื่ออิเหนาได้อ่านดังนั้น ก็รำพึงด้วยความงงงันว่าบุษบาจะงามถึงเพียงไหน ถึงขั้นว่าแม้เพียงดูรูปก็แทบจะมอดม้วยกันหมดสิ้น ถึงจะงามเหมือนจินตะหราก็เถอะ จึงบอกแก่ดะหมังไปว่าจะยกทัพไปในอีก ๗ วัน แต่ดะหมังรีบทูลว่าต้องรีบไปในทันที เพราะตอนนี้ข้าศึกยกทัพมาติดพระนครแล้ว เมืองดาหาจะเสียที อิเหนาสุดจะขัดได้ จึงให้ตำมะหงงจัดทัพใหญ่ไปเมืองดาหาในวันรุ่งขึ้น แล้วจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าท้าวหมันหยา  
                ดะหมังก็เข้าเฝ้าท้าวหมันหยาเช่นกัน แล้วท้าวหมันหยาก็ได้อ่านข้อความจากท้าวกุเรปัน ซึ่งมีใจความว่า ตัวท้าวหมันหยามีลูกสาวก็ยังมาพาให้อิเหนาไปติดพัน จนเกิดเรื่องวุ่นวายไปหมด ในการสงครามครั้งนี้ถ้าจะไม่ไปช่วยหรือจะตัดญาติขาดมิตรกันไปก็แล้วแต่ตามใจ หลังจากที่ได้อ่าน ท้าวหมันหยาก็ต่อว่าอิเหนาที่ไม่ยอมเชื่อฟัง จนท้าวกุเรปันโกรธพระองค์ ท้าวหมันหยากำชับอิเหนาให้รีบยกทัพไปทันที พร้อมทั้งให้ดาหยนคุมกองทัพของเมืองหมันหยาไปสมทบด้วย
                อิเหนาไปลานางจินตะหรา พร้อมทั้งสัญญากับนางว่าจะกลับมาหาทันทีเมื่อเสร็จศึก จินตะหราเกิดน้อยใจหันหลังใส่พร้อมกับตัดพ้อว่าอิเหนาจะไปปราบข้าศึกหรือจะกลับไปหวนคืนสู่คู่หมั้นเก่ากันแน่ ไหนบอกว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะตายจากกัน เราก็หลงเชื่อ ไม่รู้ว่าภายหลังจะมาเป็นเช่นนี้ แล้วอีกนานเท่าไหร่เล่าอิเหนาจะกลับมา อิเหนาก็ชี้แจงว่าตนไม่เคยคลายความรักในตัวจินตะหราเลย แต่ตนมีเหตุจำเป็นต้องไป เพราะท้าวกุเรปันให้กลับสองครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เกิดศึกสงคราม ไม่อาจจะขัดได้ แล้วจึงยื่นจดหมายให้จินตะหราอ่าน จินตะหราก็รู้สึกคับแค้น คร่ำครวญว่าความรักนั้นก็เหมือนน้ำที่ไหลเชี่ยว ไฉนเล่าจะไหลกลับคืนมา คงไม่มีหญิงใดจะเจ็บช้ำไปกว่าตน เพราะตนหลงเชื่อ หลงรัก ถึงตอนนี้แล้วจะไปโทษใครได้ อิเหนาปลอบโยนให้จินตะหราคลายความโศกเศร้า ว่าที่ตนไปนั้น แม้บุษบาจะสวยก็จริง แต่ตนไปเพราะเกรงกลัวท้าวดาหาต่างหาก แล้วอิเหนาก็ฝากฝังให้นางมาหยารัศมีและนางสการะวาตีให้จินตะหราดูแล พร้อมกับร่ำลา ก่อนจะพาสังคามาระตาไปในการศึกครั้งนี้ด้วย

                พอรุ่งเช้า อิเหนาเสด็จทรงช้าง แล้วคุมกองทัพเดินทางออกจากเหมืองหมันหยา มุ่งตรงไปเมืองดาหา ระหว่างทางก็รู้สึกโศกเศร้าเสียใจอาลัยนางทั้งสามยิ่งนัก ประสันตาพี่เลี้ยงเห็นเช่นนั้นก็ชวนชี้ให้ชมธรรมชาติของป่าไปตลอดทาง ว่าป่านี้แปลกตากว่าป่าไหนๆ ไว้เสร็จศึกแล้วน่าจะชวนนางทั้งสามมาเที่ยวพักผ่อนที่นี่ ว่าพลางไปก็ชมไป เห็นนกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนกเบญจวรรณ นกนางนวล นกแขกเต้าที่กำลังเกาะต้นเต่าร้าง นกแก้ว นกตระเวนไพร นกเค้าโมง นกคับแค พลางนึกไปถึงนางทั้งสามด้วย
                หลังจากที่เดินทางมาหลายวัน ก็ถึงทางร่วมระหว่างเมืองกุเรปันและเมืองดาหา อิเหนาพบกองทัพของกะหรัดตะปาตีที่คอยอยู่หลายวัน แล้วทั้งสองทัพก็จัดทัพเข้ากระบวนเดียวกันตามตำราพิชัยสงครามแล้วเร่งรีบยกทัพไปยังกรุงดาหาทันที เมื่อถึงชายแดนเมืองดาหา อิเหนาก็หยุดตั้งค่าย แล้วให้ตำมะหงงรีบไปกราบทูลท้าวดาหา ว่าทัพของหลานทั้งสองจากเมืองกุเรปันมาถึงแล้ว

                ท้าวดาหาเมื่อทราบเช่นนี้ก็ดีใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังซ่อนความยินดีนี้ไว้ ไม่ได้แสดงออกมาให้ใครเห็น แล้วให้ตำมะหงงไปเชิญให้เข้ามาในเมือง  ตำมะหงงกราบทูลว่าอิเหนารู้ตัวดีว่าตนมีความผิดติดตัวอยู่ จึงขอทำศึกให้เสร็จสิ้นก่อน จึงจะเข้ามาถวายบังคม ท้าวดาหาจึงไม่ได้รับสั่งอะไร แต่ถามสุหรานากงว่าจะทำศึกในเมือง หรือจะไปช่วยพี่ๆรบ สุหรานากงก็เลือกทูลลาไปช่วยอิเหนาและกะหรัดตะปาตีออกรบ มีท้าวดาหาอนุญาต สุหรานากงก็กราบทูลลาออกมาเตรียมไพร่พลแล้วยกออกจากเมืองไปยังค่ายของอิเหนา

                กองทหารลาดตระเวนของท้าวกะหมังกุหนิงเห็นกองทัพใหญ่ยกรี้พลมานับแสน ส่งเสียงดังก้องกัมปนาท ฝุ่นตรลบอบอวลจนมืดครึ้มก็ตกใจรีบมาแจ้งค่ายหลวง ยาสาเข้าไปกราบทูลท้ากะหมังกุหนิง ท้าวกะหมังกุหนิงคิดว่าน่าจะเป็นทัพของจรกาและล่าสำ ที่ยกมาสมทบกับทัพของเมืองดาหา แล้วสั่งให้ออกรบในวันรุ่งขึ้น

                ฝ่ายอิเหนา ก็ให้ตำมะหงงไปตรวจตราเตรียมพลไว้ให้พร้อม พอฤกษ์ดี ก็ชวนกะหรัดตะปาตี สุหรานากง สังคามาระตา และดาหยนไปอาบน้ำชำระร่างกาย แต่งตัว ประดับเครื่องทั้งปั้นเหน่ง มหาสังวาล ทองกร แหวน มงกุฎ อุบะเพชร ฯลฯ แล้วต่างก็ขึ้นบนม้าพร้อมไพร่พลทั้งหลาย กิดาหยันพี่เลี้ยงก็ถวายกลดให้ตามแต่ละองค์ไป พอเดินทัพไปใกล้ทัพของศัตรูแล้วก็หยุดทัพไว้ แล้วรีบจัดพลเป็นรูปครุฑ วางกำลังให้ทหารตั้งเยื้องสลับกันเป็นฟันปลา เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงเห็นก็สั่งให้เข้าตีทัพในวันนี้เสียเลย
                ทหารเมืองกะหมังกุหนิงและเมืองกุเรปันต่างเข้าประจัญบานต่อสู้รบกันอย่างไม่กลัวตาย ฝ่ายกะหมังกุหนิงยิงปืนใหญ่ ทหารกุเรปันก็ระดมปืนตับรับไว้ บ้างก็ไล่รุกรบด้วยดาบสองมือ กริช และหอก บ้างก็ใช้ทวนและธนู รบกันอย่างกล้าหาญ มองเห็นศพทหารตายทับถมกันเกลื่อนกลาด เลือดไหลนองทั่วท้องทุ่ง แต่ทัพหลังก็ยังหนุนมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
                แล้วสังคามาระตาก็บุกเข้าไปตามลำพัง อิเหนาและน้องทั้งสองต้องรีบตามไป เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงเห็นทั้งสี่ ก็ถามว่าใครคือจรกา อิเหนาตอบไปว่าตนยกทัพมาจากกรุงกุเรปัน เพื่อต่อสู้ข้าศึกที่มาตีเมืองดาหา ท้าวกะหมังกุหนิงได้ฟังก็ทราบว่าเป็นอิเหนา รู้สึกครั่นคร้ามอยู่ลึกๆ แต่ก็ยังบอกออกไปว่าทั้งสี่ล้วนแต่ยังอายุน้อย คงจะตายเสียเปล่า อีกอย่าง ในเมื่อไม่ได้โกรธเคืองกัน ก็ขอให้ส่งจรกามาออกรบเสียดีกว่า อิเหนาจึงบอกออกไปว่าจรกาไม่ได้อยู่ที่เมืองดาหา ท้าวกะหมังกุหนิงต่างหากที่หลับหูหลับตามารบผิดเมือง ทำให้ไพร่พลล้มตายเสียเปล่า ถ้าจะรบกับจรกาก็ต้องไปเมืองของจรกา หากไม่รู้จักทาง ตนจะช่วยชี้ทางให้ แต่ถ้ายังขืนตั้งทัพประชิดดาหาอยู่อีก ก็คงจะต้องรบกัน เพราะถึงระตูจรกาจะไม่ยกทัพมา ตัวอิเหนาเองในฐานะพี่ชาย ก็ต้องปกป้องบุษบาให้ปลอดภัย

                ท้าวกะหมังกุหนิงจึงชี้แจงว่า ที่ยกกองทัพมาหมายจะชิงตัวนางบุษบา เพราะถึงท้าวดาหาจะรับของหมั้นจากจรกาไว้แล้ว แต่ก็ยังมิได้อภิเษกสมรสกัน จรกาไม่ได้มาด้วยก็ดี จะได้ไม่มีก้างขวางคอ การชิงนางเช่นนี้ย่อมไม่ผิดทางธรรม เพราะเป็นประเพณีมาแต่โบราณ สุดแต่ว่าใครจะมีฝีมือดีมากกว่าก็ได้นางไป ดังนั้น เรื่องนี้คงไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพี่ชาย เพราะฉะนั้น ยกทัพกลับไปเสียดีกว่า อิเหนาก็ได้ท้ารบกับท้าวกะหมังกุหนิง แล้วบอกว่าหากรักตัวกลัวตาย ก็ให้รีบมาก้มกราบบังคมแล้วยกทัพกลับไปเสีย วิหยาสะกำได้ยินแล้วเคียดแค้นแทน จึงกล่าวกับอิเหนาว่าอย่าปากกล้าโอหังลบหลู่ผู้ใหญ่ อย่าทนงตัวว่าเก่ง เมื่อรบกัน ไม่ใครก็ใครก็ต้องตายกันไปข้าวหนึ่ง นี่ยังไม่ทันรบเลยก็มาพูดจาข่มขู่ให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้เสียแล้ว สังคามาระตาฟังวิหยาสะกำพูดแล้วก็โกรธ ขออาสารบกับวิหยากะกำ เมื่ออิเหนาอนุญาตและกำชับเตือนว่าอย่าลงจากหลังม้า เพราะไม่ทรงชำนาญเพลงดาบ ให้รบด้วยทวนบนหลังม้าซึ่งชำนาญดีแล้วจะได้มีชัยชนะในการรบ

                สังคามาระตาขี่ม้าไปหยุดที่หน้าวิหยาสะกำ ร้องท้าให้รบด้วยเพลงทวน และแกล้งเยาะเย้ยว่าหากมีฝีมือควรคู่กับวงศ์เทวัญก็จะยกนางบุษบาให้ไป วิหยาสะกำแค้นใจยิ่งนัก รับสั่งถามทันที่ว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร และผู้ที่ทรงม้าอยู่ในร่มมีใครบ้าง สังคามาระตาก็ชี้แจงว่าใครเป็นใครไป หลังจากที่เจรจาได้สักพักก็ลงมือรบกัน ทั้งสองสู้ด้วยทวนบนหลังมัาอย่างองอาจ สง่างามร่ายรำยักย้ายเปลี่ยนแปลวกระบวนท่าเพลงทวนอย่างชำนิชำนาญ ในที่สุดสังคามาระตาก็แกล้งลวงให้วิหยาสะกำแทงทวนแล้วทำทีพ่ายหนี วิหยาสะกำหลงกลเลี้ยวม้าตาม สังคามาระตาตลบหันหลังกลับมาทันที แล้วแทงทวนสอดลอดเกราะของวิหยาสะกำเข้าไปที่ให้วิหยาสะกำตกจากหลังม้า ตายทันที

                เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงเห็นวิหยาสะกำถูกอาวุธจนตกจากหลังม้าก็โกรธยิ่งนัก ชักม้าแกว่งหอกเข้าใส่สังคามาระตาทันที อิเหนาจึงรีบควบม้าเข้ามาขวาง พุ่งหอกสกัดไว้ แต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็รับไว้ได้ ทั้งสองรุกไล่กันไปมา ในที่สุด อิเหนาชักม้าออก รอ ไม่บุกเข้าไป คิดว่าท้าวกะหมังกุ หนิงนั้นมีฝีมือในการใช้เพลงทวนบนหลังม้า ยากต่อการเอาชนะ จึงต้องออกอุบายให้รบด้วยเพลงดาบ จึงจะสามารถเอาชนะได้ อิเหนาจะท้าให้ท้าวกะหมังกุหนิงมาสู้กันด้วยกระบี่ ท้าวกะหมังกุ หนิงก็รับคำ ชักกระบี่ออกมาจ้วงฟันอย่างคล่องแคล่ว เมื่อผ่านไปได้พักใหญ่ อิเหนานึกในใจว่าท้าวกะหมังกุหนิงก็เก่งเพลงดาบ ยากที่ใครจะทัดเทียม จึงต้องสู้ด้วยกริชซึ่งองค์เทวัญประทานให้ จึงจะเอาชนะได้ อิเหนาก็ร้องท้าท้าวกะหมังกุหนิงให้มารำกริชสู้อีกเช่นกัน ท้าวกะหมังกุหนิงก็ชักกริชเข้าปะทะต่อสู้อย่างไม่ครั่นคร้าม จนเมื่ออิเหนาเห็นท้าวกะหมังกุหนิงก้าวเท้าผิด จึงแทงกริชทะลุอกไปถึงหลัง แล้วท้าวกะหมังกุหนิงก็สิ้นพระชนม์ทันที
                จากนั้น กะหรัดตะปาตี ดาหยน สุหรานากง ก็สังหารฆ่าศึกจนพ่ายหนีไปหมด ปะหมันและปาหยังก็ปรึกษากันขอยอมแพ้แก่อิเหนา เพื่อเป็นการรักษาชีวิตและเป็นการรี้พลไว้ อิเหนาก็รับไว้เป็นเมืองขึ้น แล้วให้ทั้งสองนำศพของท้าวกะหมังกุหนิง และวิหยาสะกำไปทำพิธีตามราชประเพณี เมื่ออิเหนาเห็นศพวิหยาสะกำก็รำพันออกมาด้วยความเศร้า ปะหมันและปาหยังเข้าไปกอดศพของท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำด้วยความเสียใจ แล้วเชิญศพไปยังเมืองกะหมังกุหนิง

                เมื่อเสนาเข้าไปกราบทูลท้าวดาหาว่าอิเหนามีชัยในการรบกลับมาก็ดีใจยิ่งนัก สั่งให้เชิญอิเหนาไปพักผ่อนที่สระเบญจบุษบง ที่เขากุหนุงมาลัย เพื่อให้เป็นสิริมงคล หลังจากนั้น ปุโรหิตก็นำน้ำบูชาคาถามาสรงให้แก่อิเหนาและอนุชาอีก ๔ คน เสร็จพิธีแล้ว อิเหนาก็กลับพลับพลาที่ประทับและให้ทหารเตรียมเดินทางกลับหมันหยา เพราะตอนนี้ตนครุ่นคิดถึงแต่นางจินตะหรา


Advertising Zone    Close
Online: 1 Visits: 190,495 Today: 2 PageView/Month: 24

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...