ความเป็นมา
เรื่องอิเหนาเป็นพงศาวดารของชวาประมาณ ๑,๖๐๐ ปีล่วงมาแล้ว
ในพงศาวดารเรียกว่า " อิเหนา ปันหยี กรัตปาดี " แต่ชาวชวาเรียกเป็นคำสามัญว่า ปันหยี
ส่วนคำว่าอิเหนา ชวาออกเสียงเป็น อินู ในพงศาวดารกล่าวว่า กษัตริย์ไอรลังคะ ครองเมืองดาฮา (ดาหา)
พระองค์มีพระธิดา ๑ องค์ พระโอรส ๒ องค์ ต่อมาพระธิดาออกบวช กษัตริย์ไอรลังคะ แยกอาณาจักรออกเป็นสองแคว้น
คือ กุเรปันและดาหา เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์โอรสองค์โตครองกุเรปัน องค์เล็กครองดาหา
กษัตริย์กุเรปัน มีพระโอรสชื่ออิเหนา กษัตริย์ดาหา มีพระธิดาชื่อบุษบา พระธิดาที่บวชเป็นชีได้ให้อิเหนาและบุษบาอิภิเษกกัน
ทั้งสองเมืองจึงรวมกันอีกครั้ง
อิเหนาเป็นกษัตริย์ที่ทรงอานุภาพมาก ได้ปราบปรามบ้านเมืองน้อยใหญ่อยู่ในอำนาจจึงได้ชื่อว่า
" มหาราชองค์หนึ่งของชวา " และกษัตริย์ราชววงศ์อิเหนาได้ครองราชย์สืบมา จนถึงประมาณ
พ.ศ. ๑๗๖๔ จึงเสื่อมอำนาจ กษัตริย์อังรกะแย่งราชสมบัติได้ และย้ายเมืองไปตั้งทีเมืองสิงคัสซารี (สิงหัดส่าหรี)
ต่อมาได้ย้ายเมืองไปอยุ่ที่เมืองมัชปาหิตจนกระทั่ง พ.ศ. ๒๐๐๐ ชวาก็ตกอยู่ในอำนาจของอิเดีย และตกอยุ่ในอำนาจของโปรตุเกส
และเนเธอร์แลนด์ ตามลำดับ จนกระทั่งเป็นอิสระภาพในปัจจุบัน
สำหรับชาวชวา อิเหนาถือว่าเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้มีฤทธิ์ เรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาจึงเต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
ที่แตกต่างไปจากพงศาดารมาก
การที่เรื่องอิเหนาเข้ามาสู่ประเทศไทยกล่าวกันว่าในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์มีพระราชธิดากับเจ้าฟ้าสังวาลย์ ๒ องค์
คือ เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ และเจ้าฟ้าทั้งสององค์มีนางกำนัลเป็นหญิงชาวมลายูที่ได้มาแต่เมืองปัตตานี
นางกำนัลผู้นี้เป็นผู้เล่านิทานปันหยีถวายเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ ต่อมาทั้งสองพระองค์จึงนิพนธ์ขึ้นเป็นบทละครองค์ละเรื่อง
บทละครของเจ้าฟ้ากุณฆลชื่อว่าดาหลัง ส่วนของเจ้าฟ้ามงกุฎให้ชื่อว่าอิเหนา แต่คนทั่วไปมักเรียกพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้ากุณฑลว่า
อิเหนาใหญ่ ของเจ้าฟ้ามงกุฎเรียกว่าอิเหนาเล็ก พระเจ้าอยุ่หัวบรมโกศโปรดให้เล่นเป็นละครในทั้งสองเรื่อง แต่คนทั่วไปนิยมเรื่องอิเหนาเล็ดมากกว่า
เมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่สอง (พ.ศ ๒๓๑๐) ต้นฉบับบทละครเรื่องดาหลังและเรื่องอิเหนา
ซึ่งเรื่องเดิมแต่งไว้ถึงตอนสึกชีสูญหายไป เมื่อกอบกู้เอกราชได้ ไทยต้องฟื้นฟูบ้านเมืองและศิลปวัฒนธรรมต่างๆ รวมทั้งรวบรวมวรรณคดีเก่าๆ แล้วเรียบเรียงของเก่าขึ้นมาใหม่
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาใหม่ทั้งหมด
เพื่อนเป็นบทละครรำ ทรงพิถีพิถันเลือกสรรถ้อยคำให้เหมาะแก่ท่ารำ การทรงพระราชนิพนธ์นั้น มีบางตอนที่พระองค์โปรดให้กวีท่านอื่นๆ มีส่วนแต่งร่วมด้วยแล้วนำบทละครนั้นมาอ่านถวายหน้าพระที่นั่ง ให้ที่ประชุมกวีช่วยกันปรับปรุงแก้ไขโดยพระองค์เป็นผู้วินิจฉัย บางตอนก็ให้ผู้เชี่ยชาญท่ารำทดลองรำตามบทด้วย บทละครเรื่องอิเหนาของรัชกาลที่ ๒ จึงสนุกและไพเราะ เหมาะกับการเล่นละครรำอย่างยิ่ง จึงได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ ว่าเป็นยอดของกลอนบทละครรำ และเป็นหนังสือที่พร้อมด้วยคุณค่าทั้งด้านวรรณศิลป์ และด้านสังคม
|